ระหว่างเล่าหนังสือ 'กล้าที่จะถูกเกลียด' ใน Have a nice day! เช้านี้ เหมือนความเข้าใจบางอย่างผุดขึ้นมาในตัวเอง ไล่เรียงเหตุผลว่า ในตอนเด็กเราตัวเล็กดูแลตัวเองไม่ได้ ต้องพึ่งพาคนอื่นมาเนิ่นนาน พอโตขึ้นหน่อยเราก็เข้าใจว่าผู้ใหญ่ (ที่ตัวใหญ่กว่า) สามารถสั่งให้เราทำนั่นนี่ได้ เราเริ่มต้นชีวิตมาด้วยความรู้สึกด้อยกว่า มีคนมีอำนาจเหนือกว่าเรา
ความรู้สึกด้อยนี้ส่งผลให้เราเฝ้ารอว่าเมื่อไหร่ฉันจะ 'ใหญ่' กว่าคนอื่นและมีอำนาจเหนือคนอื่นบ้าง ฉะนั้น พอเป็นพี่ก็อาจมาลงกับน้อง สั่งน้องทำนู่นนี่ เข้าโรงเรียนไปถ้าตัวใหญ่กว่าเพื่อนก็อาจรังแกเพื่อน ไล่เรียงไปเรื่อยๆ
ในบ้านที่พ่อแม่ชอบเปรียบเทียบลูกกับลูกหรือเปรียบลูกกับคนอื่นก็อาจสร้างความรู้สึก 'ด้อยกว่า/เหนือกว่า' แบบนี้มากขึ้นไปอีก
🌳🌳🌳
ความรู้สึกเช่นนี้อาจก่อตัวเป็นการรับรู้ต่อโลกนี้ว่า "ฉันต้องเป็นผู้ชนะ" และโลกคือสนามแข่ง จะว่าไปรากลึกของมันก็คือความรู้สึกไม่มั่นใจในตัวเอง หรือเกรงจะด้อยกว่าคนอื่น
เราส่วนใหญ่จึงดำเนินชีวิตในโหมดแข่งขันต่อสู้ และต้องเปรียบเทียบกับคนอื่นตลอดเวลาในทุกมิติ ทั้งหน้าตา ฐานะ การงาน การเรียน ข้าวของ ฯลฯ
ถ้าเป็นไปได้ เราก็อยากเหนือกว่า อยากชนะ แล้วจึงรู้สึกมั่นคงมั่นใจมากขึ้น
แต่การดำเนินชีวิตในโหมดนี้สร้างความเครียด กดดัน เหนื่อยล้าให้กับทุกคน แถมยังมีผลต่อความสัมพันธ์ที่ย่ำแย่ เพราะกับเพื่อนในห้องเรียนเราก็แข่ง เพื่อนในที่ทำงานก็แข่ง กับพี่น้องกันเองก็แข่ง และกระทั่งกับคนรักเราก็ยังเอาชนะคะคาน
ไม่มีใครอยากแพ้ เพราะแพ้คือตกเป็นรอง เสียเปรียบ เวลาถกเถียงอะไร แม้เรื่องเล็กน้อยเราก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ทั้งที่บางทีไม่เข้าใจว่าทำไมต้องอยากเอาชนะขนาดนั้น
🌳🌳🌳
กระทั่ง เราเติบโตถึงระดับหนึ่ง มีที่ทางของตัวเอง มีความรู้ความถนัดหรือสะสมทรัพย์สินที่พอจะรู้สึกมั่นคงปลอดภัยขึ้นบ้าง และเข้าใจตัวเองแล้วว่าต้องการอะไร เราจะเริ่มเปรียบเทียบกับคนอื่นน้อยลง ออกจากโหมดแข่งขัน ไม่ต้องเอาชนะทุกสนามหรือทุกเรื่อง เรารู้แล้วว่าชีวิตไม่ใช่เรื่องแพ้ชนะเสมอไป และบางที การยอมก็ไม่ใช่แพ้ แต่นำมาซึ่งความเข้าใจและความสัมพันธ์ที่ดีกว่าการพยายามชนะตลอดเวลา
โลกค่อยๆ กลายเป็นลานกว้าง ไม่ใช่ลู่วิ่งแข่ง เราวิ่งไปทางนู้นทีทางนี้ที วิ่งไปหาคนอื่นเพื่อทำความรู้จัก ไม่ใช่วิ่งไล่หรือวิ่งแซง แต่วิ่งไปคุย วิ่งไปถามไถ่ วิ่งไปหาเพื่อเรียนรู้จากเขา เรียนรู้จากความต่างนี่แหละ
เมื่อไม่แข่งก็ไม่แพ้
เมื่อไม่สู้ก็ไม่ต้องเอาเป็นเอาตาย
เมื่อไม่เหนือกว่าหรือด้อยกว่าก็เดินไปข้างๆ กัน
เมื่อผ่านเวลามาช่วงหนึ่ง ผ่านพ้นช่วงที่ไม่มั่นคงในใจ จำเป็นต้องพึ่งพาผู้ที่เหนือกว่าน้อยลง เราจะเป็นตัวของตัวเอง และหวั่นไหวต่อการเปรียบเทียบน้อยลงด้วย
แปลกดี ยิ่งมั่นคง ความสัมพันธ์ยิ่งดีขึ้น
เพราะถ้าทั้งโลกไม่ใช่ศัตรู ก็มีโอกาสมีมิตรเพิ่ม
ถ้าโลกไม่ใช่สนามแข่งขันก็ไม่ต้องกังวลเคร่งเครียดว่าจะแพ้
เราแค่เป็นเรา พึงพอใจกับสิ่งที่เราเป็น ทำประโยชน์ในแบบที่เราทำได้ ซึ่งไม่แน่--มันอาจเป็นสิ่งที่คนอื่นทำได้ดีไม่เท่าเราด้วยซ้ำ แต่เขาก็ทำอย่างอื่นได้ดีกว่าเรา (ไม่จำเป็นต้องเทียบกันเลย)
🌳🌳🌳
เหมือนที่เมื่อเช้าผมเล่าถึงเรื่องที่ตัวเองเล่นบาส ว่าความสูง 166 ซม. ของผมนี่ถือว่าเตี้ยมากหากเทียบกับเพื่อนในสนาม เซ็นเตอร์สูง 185 ซม. ผมอาจอิจฉาเขาถ้าผมอยากเล่นเซ็นเตอร์ แต่แล้วผมก็เจอตำแหน่งที่เหมาะและเล่นได้สนุก นั่นคือการ์ดจ่าย ผมค่อยๆ มองเห็นว่าขนาดกะทัดรัดของตัวเองได้เปรียบเรื่องความแคล่วคล่อง แม้รีบาวด์ลูกไม่เก่งเหมือนเพื่อนตัวสูง แต่จังหวะเลี้ยงหลบและจ่ายบอลก็แพรวพราวไม่เป็นรองพวกเขา
ประเด็นไม่ใช่ใครเก่งอะไรกว่าใคร
มันคือเราต้องการกันและกันจึงเป็นทีมที่สมบูรณ์และเล่นสนุก
ผมว่าชีวิตก็เป็นแบบนี้ เราต้องมีความสัมพันธ์เพราะมีเกมมากมายที่เราเล่นคนเดียวไม่สนุก และทำเองไม่มีวันสำเร็จ
แทนที่จะเปรียบเทียบ ลองผนวกรวม อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมกับตัวเองแล้วเล่นให้ดีที่สุด เพื่อนก็จะเล่นได้ดีขึ้นเพราะเรา เราเล่นได้ดีขึ้นเพราะเพื่อนร่วมทีม
เราไม่ได้เกิดมาเพื่อเอาชนะใคร
เมื่อเรามั่นคงในตัวเองแล้วก็จะเป็นตัวเอง เห็นคุณค่าและยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็น ขณะเดียวกันก็เห็นคุณค่าที่แตกต่างไปของคนอื่น ชื่นชมกันและกัน
ชีวิตแบบนี้สนุกกว่ามุ่งแพ้ชนะมากมายนัก